Nicholas Woodland
ที่มาของกล้อง GoPro นั้น เริ่มต้นจากความเรียบง่ายมาก ๆ เมื่อ Nick ต้องการถ่ายวีดีโอบันทึกเหตุการณ์ในขณะที่เขากำลังเล่นเซิร์ฟบอร์ดหรือกระดานโต้คลื่น แล้วเขาพยายามใช้กล้องคอมแพ็คธรรมดา ๆ ใส่กล่องกันน้ำแล้วเอาสายรัดข้อมือมามัดติดกับกล้อง
กล้องคอมแพคใส่กล่องกันน้ำติดข้อมือ
แต่ก็พบว่า ภาพที่เขาบันทึกได้ออกมานั้น ไม่ได้ดั่งใจตามที่เขาต้องการเลย เขาก็เลยพยายามสร้างกล้องที่ตอบสนอง Need ของเขาขึ้นมาเอง โดยก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Woodman Labs เพื่อสร้างเจ้า GoPro ขึ้นมา
แต่ก่อนที่ Nick จะกระโดดมาทำ GoPro นั้น ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยทำธุรกิจมาก่อนแล้ว โดย Nick เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 24 เป็นบริษัทเกี่ยวกับ Tech Startup
ผลปรากฏว่า ‘เจ๊งไม่เป็นท่า’ แถมเงินลงทุนที่เขาเอามาจากคนอื่น ๆ กว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาท ก็จมลงไปกับธุรกิจก่อนหน้านั้นของเขาในระยะเวลา 2 ปีที่เขาเริ่มต้นธุรกิจตัวนี้
และหลังจากที่ Nick ผิดหวัง ล้มเหลวไม่เป็นท่ากับธุรกิจที่เขาพึ่งทำพังกับมือ เขาก็เลยวางแผนไปเล่นกระดานโต้คลื่นซึ่งในตอนแรกเขาแค่ต้องการจะเก็บภาพสวย ๆ ตอนที่เขากำลังโต้คลื่น ตอนนั้นในหัวของ Nick ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องธุรกิจเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเขาคิดได้ว่า มันต้องมีคนเล่นกระดานโต้คลื่นที่พบปัญหาเดียวกับเขาทั่วโลกเยอะแน่ ๆ
และในตอนนั้นเอง เขาพยายามที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับนักกระดานโต้คลื่นให้ถ่ายรูปการโต้คลื่นแบบมือโปร เขาเลยตั้งชื่อให้มันว่า “
GoPro” นั่นเอง
ความตั้งใจแรกของ GoPro ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาแทนที่กล้องแบบคอมแพคหรือกล้องจากมือถือสมาร์ทโฟน แต่เป็นกล้องที่มาเติมเต็มในส่วนที่กล้องต่าง ๆ เหล่านั้นอาจจะไม่เหมาะกับการถ่ายรูปบางอย่าง เช่น ถ้าเป็นกล้องมือถือสมาร์ทโฟน ในบางเวลาที่เร่งด่วนก็อาจจะเปิด App ถ่ายรูป แล้วถ่ายไม่ทันล็อตนั้น GoPro ก็เลยเน้นให้เปิดกล้องได้ไว แล้วกดปุ่มเดียวก็สามารถบันทึกช็อตนั้นได้ในทันที
หรือกล้องคอมแพ็ค อาจจะมีมุมมองที่ไม่กว้างมากนักในขณะที่เซลฟี่
GoPro ก็เลยออกแบบตัวกล้องและอุปกรณ์เสริมเพื่อให้บันทึกในมุมมองที่กว้างขึ้นเพื่อเก็บภาพได้ทุกช็อตรอบ ๆ ตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่กล้อ GoPro ถูกสร้างขึ้นเพื่ออยากให้ผู้ใช้งานได้บันทึกประสบการณ์ในชีวิตเอาไว้ในเวลาที่พบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือช่วงเวลาที่น่าจดจำในชีวิต
จากกล้องที่ Nick กะจะขายให้กับนักกระดานโต้คลื่นเพียงกลุ่มเดียวก็อาจจะทำให้ตลาดของ GoPro ไม่โตมากนัก จนกระทั่ง Nick ได้ชวนเพื่อน ๆ ของเขาขึ้น Private Jet ส่วนตัวไปเที่ยว Maxico เพื่อทดสอบกล้อง GoPro ของเขาในกิจกรรมต่าง ๆ และรูปแบบการใช้งานต่าง ๆ ที่กล้องทั่ว ๆ ไปไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกระดานโต้คลื่น การเล่นโปโลขี่ม้า ปีนเขา หรือแม้กระทั่งดำน้ำไปใกล้ชิดกับจระเข้ ทำให้คลิปนั้นส่งผลให้ GoPro ขยายตลาดไปทุก ๆ กลุ่มคนที่ต้องการบันทึก Lifestyle Cool Cool ของแต่ละคน
และสิ่งที่ทำให้ Nick คาดไม่ถึงเกี่ยวกับกล้อง GoPro ที่เขาสร้างขึ้นมานั้น เขากลับเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากลูกค้าของเขา เพื่อที่จะนำมาปรับปรุงและพัฒนาตัวกล้องให้มันตอบสนองต่อผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น
ตอนที่มีเด็กคนหนึ่งได้ติดกล้องไว้กับจรวดประดิษฐ์แล้วเจ้าจรวดก็ดันวิ่งทะลุชั้นบรรยากาศของโลกไปลอยอยู่บนอวกาศ ทำให้ Nick ทึ่งเลยว่า กล้องตรูถ่ายบนอวกาศได้ด้วย Oh My God!
GoPro Hero 3
และจากนั้นก็มีการใช้กล้อง GoPro ในกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป และหลาย ๆ วีดีโอ ก็เป็นมือสมัครเล่นที่ทำขึ้นเอง โดยที่ Nick ไม่ได้ทำการตลาดด้วยซ้ำ
กลายเป็นว่าลูกค้าของเขา กลับสร้างวีดีโอโฆษณาให้กับบริษัทเขาเอง แถมหลาย ๆ วีดีโอก็แพร่กระจายแบบ Viral Marketing ซึ่งเป็นการตลาดที่นักการตลาดทั่วโลกใฝ่ฝันอยากจะทำมันเลยทีเดียว
และในขณะเดียวกัน Timing ที่สำคัญในช่วงที่โลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับ Video Content ในตอนนั้นเอง Google ก็ได้เข้าซื้อ Youtube พร้อม ๆ กับการเปิดตัวกล้อง GoPro Hero 3 จึงทำให้ผู้คนหลั่งไหลอัพโหลดและแชร์ฟล์วีดีโอจนกลายเป็น Viral ขึ้นมา
ในปี 2014 ที่ผ่านมา GoPro ได้นำเข้าตลาด IPO เพื่อระดมทุน และขายสู่สาธารณะชนเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากเงินทุน 8 ล้านบาทในวันนั้น จนถึงวันนี้ Nicholas Woodman ในวัย 40 ปี ผู้ก่อตั้ง GoPro ก็มีรายได้สุทธิประมาณ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ เฉียด ๆ 1 แสนล้านบาท